ข่าวกีฬา ลิเวอร์พูล ทำสามแต้มหลุดมืออย่างน่าเสียดายหลังเจอจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ถือเป็นเกมสุดดราม่าที่มีประเด็นหลายอย่างให้พูดถึงกันทั้งเรื่องวีเออาร์ ,จุดโทษ และนักเตะบาดเจ็บ เรามาเจาะลึกกันทีละข้อเลย
ข่าวกีฬา
1.วีเออาร์แกง 3 ครั้ง
เป็นประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้เพราะวีเออาร์เปลี่ยนรูปเกมและผลการแข่งขันถึงสามครั้งเลยทีเดียว โดยจังหวะแรกเกิดขึ้นในนาทีที่ 20 เมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้หลุดเดี่ยวไปส่งบอลตุงตาข่าย แต่ผู้ตัดสินเช็กวีเออาร์แสดงให้เห็นว่าปีกชาวอียิปต์ล้ำหน้าช่วงปลายสตั๊ด ทำเอาแฟนหงส์เซ็งเป็นแถบ
ครั้งที่สองนั้นเกิดขึ้นในครึ่งหลังช่วงที่ ลิเวอร์พูล นำอยู่ 1-0 และจังหวะโหม่งตุงตาข่ายของ มาเน่ น่าจะเป็นประตูปิดกล่องไปแล้วทว่าวีเออาร์เช็กว่ากองหน้าชาวเซเนกัลอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าไปก่อน
และวีเออาร์จังหวะสุดท้ายของเกมนี้เกิดในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+3 เมื่อ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ไปวางเท้าเปิดปุ่มใส่ แดนนี่ เวลเบ็ค ในเขตโทษ โดยผู้ตัดสินวิ่งไปดูวีเออาร์ข้างสนามก่อนจะให้เป็นจุดโทษของเจ้าบ้าน เป็นอีกหนึ่งเกมที่ ลิเวอร์พูล ทำแต้มหล่นเพราะวีเออาร์ สถิติฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เสียผลประโยชน์จากวีเออาร์ไปแล้วถึง 8 ครั้ง
2.เนโก-มินามิโนะสอบตก
ถือเป็นเกมที่นักเตะ “หงส์แดง” หลายคนโชว์ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐาน แต่สองคนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคงหนีไม่พ้น เนโก วิลเลี่ยมส์ และ ทาคูมิ มินามิโนะ
ในรายของ เนโก วิลเลี่ยมส์ นั้นได้รับโอกาสมากขึ้นหลัง เทรนต์ ได้รับบาดเจ็บแต่เขากลายเป็นจุดอ่อนในหลายๆเกม ประสิทธิภาพการเล่นเกมรุกของเขาสอบไม่ผ่านเลย ทีมไม่สามารถขึ้นเกมและสร้างโอกาสจากทางแบ็กได้แบบที่ เทรนต์ เคยทำ ขณะที่เกมรับ เจ้าตัวเพิ่งจะโดนเจาะเละเทะมาในเกมพ่าย อตาลันต้า เมื่อกลางสัปดาห์ เกมนี้ก็มาทำเสียจุดโทษอีก ไม่แปลกใจที่ คล็อปป์ จะเปลี่ยนตัวตั้งแต่พักครึ่งเวลา
ส่วน ทาคูมิ มินามิโนะ ถูกจับมาเล่นเป็นแผงกองกลางในเกมนี้ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาถนัดนักเลยอาจเป็นเหตุผลให้โชว์ฟอร์มไม่ออก มีหลายครั้งที่เขาจ่ายพลาด แถมแรงปะทะคู่แข่งก็สู้ไม่ไหวเลยทำให้เสียบอลง่าย แม้ว่าเจ้าตัวอาจจะได้รับโอกาสลงสนามน้อยแต่นี่เป็นฟอร์มที่ผิดจากที่คาดหวังไว้พอสมควร
3.โชต้ายังเทพ
แม้ ลิเวอร์พูล จะเก็บผลการแข่งขันที่น่าผิดหวัง แต่ความสุดยอดของ ดีโก้ โชต้า ยังน่าประทับใจเช่นเคย ในวันที่แนวรุกลิเวอร์พูลต่างหลุดฟอร์มกันหมด เขากลายเป็นคนสร้างความแตกต่าง
ช่วงครึ่งแรก โชต้า อาจจะทำผลงานไม่ดีนักทั้งเสียบอลง่าย จ่ายบอลพลาด แต่เขามาชดเชยด้วยการโชว์สเต็ปแตะหลบกองหลังและยิงผ่าน แม็ทธิว ไรอัน เสียบเสาอย่างสวยงามซึ่งจังหวะนี้ถือเป็นการยิงตรงกรอบที่ได้น้ำได้เนื้อสุดของลิเวอร์พูล นี่เป็นประตู 9 จาก 14 นัดนับตั้งแต่ย้ายจาก วูล์ฟแฮมป์ตัน มาร่วมทัพ “หงส์แดง” คงเป็นนักเตะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดร็อปไม่ได้เสียแล้ว
4.เล่นดีมีแต้มแล้ว
ฤดูกาลนี้ ไบรท์ตัน มักจะเจอคอนเซ็ป “เล่นดีแต่ไม่มีแต้ม” มีหลายเกมที่พวกเขาต่อกรกับทีมใหญ่ได้สมน้ำสมเนื้อไม่ว่าจะเป็น เชลซี, แมนฯ ยูไนเต็ด หรือ สเปอร์ส แต่กลับเป็นฝ่ายปราชัยทั้งสามนัด
เกมนี้พวกเขาสู้กับ ลิเวอร์พูล ได้ดีทีเดียว และน่าจะได้ประตูออกนำอยู่หลายครั้งทั้งจังหวะหลุดเดี่ยวของ อารอน คอนนอลลี่ หรือจุดโทษของ นีล โมเปย์ แต่ก็ฝังทีมเยือนไม่ได้สักที และมันก็เหมือนจะเข้าอีหรอบเดิมเมื่อเจอลูกยิงของ โชต้า ในช่วงครึ่งหลัง ทว่ายังมีวีเออาร์ช่วยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บทำให้พวกเขาเก้บแต้มจากบิ๊กซิกซ์ได้เป็นครั้งแรกของฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตามทัพ “นกนางนวล” คงต้องเร่งฟอร์มขึ้นมาโดยเฉพาะการเจอกับทีมในระดับเดียวกัน ตอนนี้พวกเขารั้งอันดับที่ 16 ห่างโซนตกชั้นเพียง 6 แต้มเท่านั้น รอดูกันว่าฤดูกาลนี้พวกเขาจะอยู่รอดได้หรือไม่
5.ตัวเจ็บเพิ่มอีก
ผลการแข่งขันว่าเซ็งแล้ว สิ่งที่ทำให้แฟนเดอะค็อปเซ็งมากกว่าคือการที่มีนักเตะบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีก ปกติก็มีนักเตะชุดใหญ่บาดเจ็บมากถึง 7 คนได้แก่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (เข่า), โจ โกเมซ (เข่า), อเล็กซ์ อ็อดซ์เลด แชมเบอร์เลน (เข่า), ติอาโก้ อัลกันตาร่า (เข่า), เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (น่อง), นาบี เกอิต้า (แฮมสตริง) และ เซอร์ดาน ชากิรี่ (กล้ามเนื้อ)
เกมนี้หวยมาออกที่ เจมส์ มิลเนอร์ กองกลางสารพัดประโยชน์ที่ถูกโยกมาเล่นเป็นแบ็กขวาในช่วงครึ่งหลังเนื่องจาก เนโก วิลเลี่ยมส์ โชว์ฟอร์มย่ำแย่ โดยเจ้าตัวบาดเจ็บแฮมสตริงจน คล็อปป์ ต้องส่ง เคอร์ติส โจนส์ มาเล่นเป็นแบ็กขวาจำเป็น หลังจากนี้ เนโก คงต้องถูกเข็นลงต่อแม้จะทำผลงานไม่ดีก็ตาม